วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Amityville House

             เมื่อปี ค.ศ.1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่ง ในบ้านเลขที่ 112 โอเชียนอเวนิว สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้น บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นบ้านอาถรรพ์ ผู้ที่มาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ต่างก็ได้กับพบเหตุการณ์ประหลาด                                   




          บ้านสไตล์ดัตซ์ สูงสามชั้นหลังนี้มีชื่อว่า อมิตี้วิลล์ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1927 (พ.ศ. 2470) บนเนื้อที่ 0.28 เอเคอร์ (0.7 ไร่) เดิมตั้งอยู่เลขที่ 112 โอเชี่ยนอเวนิว มีพื้นที่ใช้สอย 3,600 ตารางฟุต ภายในมีทั้งหมด 11 ห้อง แบ่งเป็น 5 ห้องนอน 3.5 ห้องน้ำ พร้อมห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องรับประทานอาหาร แฟมิลี่รูม ชั้นใต้ดิน อู่จอดเรือ และที่จอดรถ
          ตอนที่สร้างบ้านหลังนี้เสร็จใหม่ ชาวอินเดียนแดงเผ่าชินเนคอล์ก (เผ่าอินเดียนแดงพื้นเมืองเดิมของนิวยอร์ก) ได้ทักเลยว่าที่นี่เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย                                                                                                                                                                                  

           ตำนานแรกที่ทำให้บ้านหลังนี้โด่งดังไปทั่วนิวยอร์ก คือ "คดีโรนัล ดัลโฟร์" เมื่อปี 1974 (พ.ศ.2517) ในตอนกลางดึกของเดือนพฤษจิกายน โรนัล ดัลโฟร์ บุตรชายคนโตของตระกูลดัลโฟร์ ได้ใช้ปืนสังหารสมาชิกในครอบครัวตัวเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 6 ศพ หลังก่อเหตุ โรนัลได้โทรไปแจ้งตำรวจพร้อมสารภาพว่าตัวเขาเป็นคนลงมือเอง โดยเขาให้การว่าเหมือนกับมีเสียงลึกลับบางอย่างสั่งให้เขาทำอย่างนั้น                 

                                                                                                    ภาพ โรนัล ดัลโฟร์ 

อะไรคือสาเหตุให้พวกเขาต้องทำเช่นนั้น..

หลังคดีโรนัล ดัลโฟร์ บ้านหลังนี้ก็ถูกประกาศขายแต่ขายไม่ออก จึงถูกปล่อยทิ้งร้างนานถึง 1 ปี จนกระทั่งคู่สามีภรรยา จอร์ชและเคธี่ ลุทซ์ ได้ซื้อต่อบ้านหลังนี้พร้อมเฟอร์นิเจอร์ในราคาถูก (80,000 ดอลล่าร์)
แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเผ่นหนีออกจากบ้านหลังนี้อย่างเสียขวัญทั้งๆที่เข้าไปอยู่ได้ไม่ถึงเดือนโดยไม่ทันได้เอาอะไรติดตัวไปเลย
                                                                                                                                                            
วันแรกที่เข้าไปอยู่ จอร์ชได้เชิญบาทหลวงมาทำพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ซึ่งบาทหลวงก็ทำพิธีไปเรื่อยๆโดยไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พอขึ้นไปทำพิธีที่ห้องใต้หลังคาเท่านั้นแหละ บาทหลวงก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นออกจากบ้านไปทั้งๆที่ยังทำพิธีไม่เสร็จเลย
-คืนแรกที่เข้าไปอยู่ เคธี่ได้ทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องครัว จนสะอาด แต่คืนวันต่อมาห้องน้ำและห้องครัวกลับมาสกปรกเหมือนเดิมโดยไม่ทราบสาเหตุ
-เย็นวันหนึ่งคณะที่เคธี่ล้างจานอยู่ในครัว เธอก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาจับหลังเธอ แต่พอหันไปดูกลับไม่พบใคร
-คืนหนึ่ง ขณะที่จอร์ชและเคธี่กำลังหลับสนิทอยู่บนห้องนอนบนชั้น 2 พวกเขาก็ได้ยินเสียงวงดุริยางค์กำลังบรรเลงเพลงอยู่ช ั้นล่าง มีครบเซตทั้งกลอง แตร ฯลฯ แต่พอลงมาดูที่ชั้นล่างก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
-มีอยู่วันหนึ่งจอร์ชได้ซื้อรูปปั้นสิงโตมาจากเทกซัส เขานำมันมาตั้งไว้ที่ห้องรับแขก แล้วเย็นวันนั้นเขาก็มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ข้างๆรูปปั้นสิงโตตัวนั้น แล้วอยู่ดีๆรูปปั้นสิงโตตัวนั้นก็กระโดดเข้างับแขนเขาเลย พอเขาร้องเรียกให้คนมาช่วย รูปปั้นสิงโตตัวนั้นก็กลับไปยืนสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
-มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่จอร์ชและเคธี่กำลังนั่งผิงไฟอยู่ที่เตาผิง พวกเขาก็ได้สังเกตเห็นควันไฟก่อตัวเป็นรูปคน สักพักมันก็กลายเป็นคนขึ้นมาจริงๆ และทำท่าว่าจะกระโจนเข้าทำร้ายพวกเขา พวกเขาจึงได้วิ่งหนีขึ้นไปบนบ้าน พอลงมาดูอีกทีปรากฎว่าสิ่งเหล่านั้นได้หายไปแล้ว แต่บริเวณเตาผิงได้มีรอยไหม้ที่มีรูปร่างเหมือนคนอยู่
-มีอยู่คืนหนึ่ง จอร์ชได้ออกมากวาดหิมะที่นอกชาน แล้วเขาก็พบว่ามีหมูป่าตัวใหญ่ นัยน์ตาสีแดงอยู่บนห้องนอนของลูกชายที่ใต้หลังคา เขาจึงรีบวิ่งขึ้นไปช่วยลูกชายทันที แต่พอขึ้นไปก็พบว่าลูกชายทำยังกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วหมูตัวนั้นก็ออกไปลอยอยู่นอกหน้าต่างแล้ว พอรุ่งเช้าจอร์ชก็พบว่ามีรอยกีบเท้าสัตว์ขนาดใหญ่อยู่บนพื้นหิมะหน้าบ้าน
-มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่จอร์ชและเคธี่กำลังหลับสนิท จอร์ชก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วพบว่าร่างของเคที่ลอยขึ้นเหนือเตียงเกือบเมตร สักพักร่างของเธอก็หล่นตุบลงมานอนตะแคงข้างๆตัวเขา พอเขาผลิกตัวเธอขึ้นมาดูก็ปรากฎว่าหน้าของเธอกลายเป็นใบหน้าเละๆไปเสียแล้ว เขาตกใจเลยกรีดร้องรีบกระโจนไปหลบอยู่ข้างเตียง พอตั้งสติได้ก็ขึ้นไปพลิกตัวภรรยาขึ้นมาดูอีกครั้ง ปรากฎว่าเธอกลับมาเป็นเคธี่คนเดิมแล้ว
-และครั้งสุดท้ายที่ทำให้พวกเขาต้องหนีออกจากบ้านหลังนั้นก็คือ มีอยู่วันหนึ่งที่พวกเขากับลูกอีก 3 คนนั่งรับประทานอาหารเย็นกันในห้องรับแขก แล้วอยู่ดีก็มีเลือดไหลออกจากผนังบ้านจนย้อมบ้านทั้งหลังกลายเป็นแดงฉาน พวกเขารีบเผ่นหนีออกจากบ้านหลังนั้นโดยไม่ทันได้หยิบข้าวของอะไรติดมือออกมาเลย


และ Amitiville House ก็กลายเป็นหนัง ชื่อเสียงก้องโลก 
ไม่นานจากนั้น เรื่องราวสยองขวัญภายในบ้านหลังดังกล่าวก็ถูกนำมาถ่ายทอดเป็นนวนิยายชื่อ “The Amityville Horror: A True Story” ผลปรากฏว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) นำแสดงโดย เจมส์ โบรลิน และมาร์กอท คิดเดอร์ หลังจากนั้นก็มีการสร้างภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาอีก 7 ครั้ง และรีเมคขึ้นใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548) โดยใช้ชื่อภาษาไทยว่า ผีทวงบ้าน นั่นเอง

ปัจจุบันนี้บ้านหลังนี้ได้ถูกนายไบรอัน วิลสัน ซื้อมาไว้ครอบครองซะแล้ว ไบรอัน ได้ทำการดัดแปลงต่อเติมบ้านหลังนี้เพื่อลบความเป็นบ้านผีสิงออกไป แต่ก็ไม่วายมีคนอยากไปลองของที่บ้านหลังนั้นอยู่ดี



Amityville House History..

112 Ocean Avenue is a large dutch colonial house bult in 1925 and was not the site of paranormal activity until an event on November 13th, 1974. The house at the time was occupied by the DeFeo family on that night the eldest son Ronald DeFeo Jr. brutally killed his parents Ronald DeFeo Sr.,43 and Louise DeFeo,42 and four siblings John-Mathew DeFeo 9, Marc DeFeo 12, Allison DeFeo 13, and Dawn DeFeo 18. Ronald (Who was 23 at the time and remains in a institute to this day) said that he 'couldn't stop' killing his family. He denied killing them, blaming it on a gangster, but later admitted he had. He had even had time to shower and get rid of his blood stained clothes before going to work. He was the one who called the police after he arrived at a bar shouting about how his family had been killed! Some say he believed that he had been possessed by a demon. While the case may seem simple, the killings of a mad man, there are some unusal factors.
For instance, all the family were found face down on the their beds with gun shot wounds to the back. It is hard to believe that no one woke on hearing the gunshots, they were not drugged. The way that the bodies lay, Police said, gave the impression they were being held down, not from above but from below. Which is impossible, right? Not only this, but neighbours didn't hear anything either. This could be explained by the fact it was a stormy night, but police said that the gunshots would have been heard over the storm. Which they weren't.
No one can be sure exactly how Ronald DeFeo Jnr killed his family as he changes the story so often that those monitoring him have said to take whatever he says now with a pinch of salt. The facts still remained that he killed his family and there were some unusual factors involved (to see the interviews with the real police men, psychic and coroner that were called in on the case, watch the special features of the 2005 Amityville Horror DVD). The house remained vacant for 12 months after the murders before it was bought by Lutz family.



ขอบคุณที่มา : http://www.thaigaming.com/forward-mail/150189.htm
                            http://ghosts.wikia.com/wiki/112_Ocean_Avenue





Jack the Ripper


  อาชญากรระดับโลกที่ถูกกล่าวขานถึงความโหดเหี้ยมและความน่าสะพรึงกลัว จากการสังหารเยื่อย่านอีสต์เอนของลอนดอนหลายรายติดๆกัน จนกลายเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดัง เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดเป็นผู้หญิง และทุกรายจะถูกเชือดคอ ศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้อง และบางครั้งพบว่ามีการตัดอวัยวะ  






      ประวัติศาสตร์ฆาตกรรมของอังกฤษได้บันทึกว่า ในระหว่างวันที่ 31 สิงหาคมถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2431 ชาวลอนดอนในประเทศอังกฤษได้ตกอยู่ในภาวะกลัวถูกฆ่าอย่างสยดสยอง เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น บนถนนในย่าน East End ในยามดึก โสเภณี 5 คน ถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ คือ ศพถูกปาดคอ ร่างกายถูกชำแหละ และอวัยวะภายในถูกคว้านออก ฯลฯ แล้วเหตุการณ์สยองขวัญนั้นก็หยุดอย่างไม่มีใครรู้สาเหตุ และนับตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรคือใคร ความลึกลับนี้จึงทำให้ฆาตกรคนนี้มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของการ ฆาตกรรม
     
       
ย้อนอดีตไปเมื่อ 120 ปีก่อน ถนน White Chapel ในย่าน East End ของ London เป็นถิ่นอาศัยแออัดของคนยากจนที่มีอาชีพรับจ้างเป็นกรรมกร และหลายคนว่างงาน เพราะบริเวณนี้อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือนัก ดังนั้น จึงมีกะลาสีเรือและชาวประมงมาเยี่ยมเยือนตลอดเวลา มีผลให้แถบนี้มีโสเภณีมาทำมาหากินมาก ซึ่งมีทั้งหญิงว่างงานและหญิงที่มีครอบครัวแล้ว แต่ต้องการหารายได้เสริมรวมถึงหญิงที่ติดยาและเป็นกามโรคด้วย รายงานตำรวจในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2431 ระบุว่า White Chapel มีโสเภณี 1,200 คน และซ่อง 62 แห่ง และในเวลากลางคืนจะมีแสงเทียนลอดทะลุผ่านหน้าต่างออกมาให้เห็นสภาพภายในของ สถานบริการ และโสเภณีเหล่านี้คือเหยื่อที่ Jack the Ripper เลือกฆ่า
     
       
โดยเหยื่อคนแรกชื่อ May Ann Nichols (ชื่ออาชีพ Polly) ที่มีอายุค่อนข้างมาก คือ 42 ปี ซึ่งไม่น่าจะมีชายใดสนใจแล้ว แต่เมื่อเธอต้องการเงิน 4 เพนนีไปเป็นค่าเช่าห้อง เธอจึงต้องออกทำงาน ในคืนวันเกิดเหตุที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2431 ขณะ Polly เดินอ่อยเหยื่อที่ถนน Buck's Row มีคนเห็นชายร่างเล็กคนหนึ่งเดินทางเข้าไปหาเธอ และชวนเธอไปค้าง ซึ่งเธอก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย แต่ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น มีคนพบศพของเธอถูกแทงด้วยมีด เป็นแผลเหวอะหวะ และที่คอมีรอยมีดปาดลึกจนเลือดนอง ถนนบริเวณที่เธอตายอยู่ตรงมุมถนน ซึ่งตามปกติในเวลากลางคืนจะมืดมาก เหตุการณ์สังหารโหดนี้ได้ทำให้ชาวบ้านแถบนั้นประหวั่นพรั่นพรึงมาก
     
       
จากนั้นอีก 7 วัน คือในวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2431 Annie Chapman ซึ่งกำลังป่วยเป็นวัณโรคก็ตกเป็นเหยื่อรายที่สอง มีคนพบศพของเธอถูกชำแหละโดยมดลูกถูกคว้านออก และคอถูกมีดปาดลึก ศพของเธอถูกพบโดยคนขายของที่ตลาด Spital Fields ในบ้านเลขที่ 29 ถนน Hanbury และที่เท้าของศพมีแหวน กับเหรียญ 3 อัน ศพมีรอยถูกแทงยับ
     
       
เมื่อมีการฆาตกรรมชำแหละศพที่ทารุณเช่นนี้ ชาวบ้านในย่าน White Chapel จึงรู้สึกหวั่นกลัวมาก ทำให้ไม่กล้าเดินออกนอกบ้านในเวลากลางคืน สำหรับคนที่เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมนี้ ก็ได้อ้างว่า ฆาตกรถือกระเป๋าดำที่มีมีดซ่อนอยู่ภายใน การอ้างลอยๆ นี้ได้ทำให้คนที่ถือกระเป๋าดำในลอนดอน ณ ช่วงเวลานั้นถูกประชาชนไล่จับ แต่ก็จับผิดตัวทุกครั้งไป เหตุการณ์สยองขวัญนี้ได้ผลักดันให้ประชาชนจัดตั้งสมาคมสังเกตการณ์เดินตรวจ ตามถนนหนทางในเวลากลางคืนทุกคืน และถึงแม้ตำรวจก็ยังจับฆาตกรไม่ได้ แต่การชันสูตรศพก็พอบอกตำรวจได้ว่า ฆาตกรเป็นคนถนัดซ้าย และมีความรู้ด้านกายวิภาคศาสตร์ดี สไตล์การชำแหละศพก็แสดงให้เห็นว่า ฆาตกรมีฝีมือด้านศัลยศาสตร์ในระดับดี เหตุการณ์สังหารโหดนี้เป็นที่โจษจันกันมากในลอนดอน และเมื่อถึงวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2341 หนังสือพิมพ์ Central New Agency ก็ได้ตีพิมพ์ข้อความในโปสการ์ดที่บุรุษลึกลับคนหนึ่งส่งถึงนักข่าวของ หนังสือพิมพ์นี้ซึ่งได้ลงท้ายว่า Yours truly, Jack the Ripper ฉายาของฆาตกรจึงเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา
     
       
เมื่อถึงคืนวันที่ 30 กันยายน Jack the Ripper ก็ได้ออกล่าเหยื่อโสเภณีอีก 2 คน ในคืนเดียวกัน คือ Elizabeth Stride ซึ่งมีชื่อทำงานว่า Long Liz เธอมีวัย 45 ปี และอยู่บ้านเลขที่ 40 ถนน Bernet Street ศพของเธอถูกมีดปาดคอเช่นเคย ส่วนเหยื่อคนที่สองในคืนเดียวกันนั้นชื่อ Catherine Eddowes หรือ Kate วัย 46 ปี ศพของเธอถูกพบที่ Mitre Square ซึ่งอยู่ห่างจากศพแรกประมาณ 200 เมตร ศพอยู่ในสภาพที่น่ากลัวมาก เพราะตาถูกควัก จมูกถูกเฉือน คอถูกเชือด ท้องถูกกรีดและไตถูกคว้านออก ส่วนที่ใกล้ศพมีชอล์กเขียนว่า “The jews are not the men to be blamed for nothing” หลังจากที่พบศพ และเห็นตัวอักษรเขียนเช่นนั้น Sir Charles Warren ผู้บัญชาการตำรวจแห่งหน่วยสอบสวนกลางก็ได้สั่งให้ลบรอยเขียนนั้นทันที โดยไม่มีใครรู้เหตุผล แต่หลายคนสงสัยว่า คงเพื่อลดกระแสต่อต้านคนยิว ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร

     
เมื่อเร็วๆ นี้ในหนังสือ Jack the Ripper : The Forensic Profile ที่ตีพิมพ์ในปี 2547 ซึ่ง Trevor Mariott เป็นผู้เขียน เขาเชื่อว่า ฆาตกรตัวจริงอาจมีมากกว่า 1 คน เพราะศพที่ 3 กับที่ 4 อยู่ห่างกันภายในระยะทาง 10 นาทีเดิน และพบในคืนเดียวกัน ซึ่งแต่ละศพต้องใช้เวลานานในการชำแหละ
     
       Trevor Mariott
คิดว่า กะลาสีเรือชาว Nicaragua หรือเยอรมันที่มาลอนดอนในขณะนั้น หลังจากที่ได้สัมพันธ์กับโสเภณีแล้วติดโรค จึงต้องการแก้แค้นโดยการฆ่า เพราะ Mariott ได้พบว่า ในช่วง 10 วันของเดือนมกราคม ปี 2432 หลังจากที่เหตุการณ์ฆ่าในลอนดอนจบ การฆาตกรรมต่อเนื่องก็ได้เกิดใน Nicaragua โดยโสเภณี 6 คน ถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน และที่ลอนดอนในเดือนกุมภาพันธ์ก็มีโสเภณี 1 คนถูกฆ่า ตามมาอีก 1 คนที่ท่าเรือเมือง Flanburg ในเยอรมนีในเดือนตุลาคม แล้วอีก 1 คนที่ลอนดอนในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2434
     
       
ในปี 2548 Tony Williams ผู้เป็นทายาทของ Sir John Williams ได้เรียบเรียงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Uncle Jack และบรรยายว่า John William มีอาชีพเป็นแพทย์ที่เคยทำงานในโรงพยาบาลใน London หลายแห่ง รวมทั้งที่ White Chapel Workhouse Infirmary และข้อมูลคนไข้ของสถานพยาบาลนี้ก็ระบุว่า เหยื่อทั้ง 5 คน เคยไปรับการรักษาที่นี่
     
       
นอกจากนี้ Tony Williams ก็ได้พบจดหมายฉบับหนึ่งลงวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2431 ซึ่งมีข้อความว่า John Williams บอกเลิกนัดกับ เพื่อน เพราะต้องไปรักษาคนไข้ที่คลินิก White Chapel และในคืนนั้นเอง Anne Chapman ก็ตาย จากนั้น John Williams ก็ได้เลิกอาชีพแพทย์ และเดินทางไป Wales ส่วนมีดผ่าตัดของเขา ซึ่งขณะนี้ถูกเก็บอยู่ที่ National Library of Wales ก็พบว่า สามารถใช้หั่นศพได้ดี Tony Williams จึงคิดว่า ถ้าใช้เทคนิค DNA วิเคราะห์คราบเลือดที่อาจติดอยู่บ้างบนคมมีด ตำรวจก็อาจได้ข้อมูลของเหยื่อได้
     
       
สำหรับ James Tully นั้น หลังจากที่ได้ศึกษาประวัตินักโทษโรคจิตที่ Broadmoor นาน 9 ปี เขาคิดว่า James Kelly ผู้เป็นนักโทษคนหนึ่ง มีประวัติที่น่าสงสัยว่าเป็น Jack the Ripper เพราะเป็นคนกำพร้าพ่อ เฉลียวฉลาด สำส่อน และต้องโทษเพราะฆ่าภรรยาหลังจากที่พบว่าตนเป็นซิฟิลิส เพราะได้รับเชื้อจากภรรยา และได้หนีออกจากโรงพยาบาลโรคจิตที่ Broadmoor ไปเที่ยวโสเภณีที่ White Chapel และหลังจากที่เหยื่อคนสุดท้ายตายแล้ว Kelly ได้เดินทางไปยุโรป และเมื่อได้ดูจดหมาย และลายมือที่เขียนแล้ว Tully คิดว่า ลายมือเหมือนคนที่เขียนโปสการ์ดถึงหนังสือพิมพ์ และลงท้ายว่า Jack the Ripper
     
       
ข้อมูลทางจิตวิทยายังเสริมอีกว่า Kelly ถูกแม่ทิ้ง เป็นคนโดดเดี่ยวที่รู้สึกว่าตนไม่มีคุณค่าเลย ชอบเซ็กซ์ มีชีวิตสมรสที่ล้มเหลว และบ้าเมื่ออายุ 40 ปี จึงได้แหกคุกคุมขัง และถูกจับได้ จึงถูกนำกลับมาเข้าคุกอีก Kelly เคยบอกอยากสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีใครรู้ว่าสารภาพอะไร จนกระทั่งเขาตายไป เพราะเขาได้นำคำสารภาพของเขาไปด้วย
     
       
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ได้มีงานแสดงเรื่อง Jack the Ripper and the East End ที่ Museum in Docklands ในลอนดอนเป็นครั้งแรก งานนี้จะมีถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน แก่นหลักของงานแสดงมิได้ระบุว่าใครเป็น Ripper เพียงแต่แสดงให้เห็นว่า ในสมัยนั้นการค้นหาฆาตกรเป็นเรื่องยาก และลำบากมาก ในงานมีศพจำลองของเหยื่อที่ดูน่ากลัวกว่าในหนัง Hollywood และสถานที่จัดก็ใกล้กับบริเวณที่ผู้หญิง 11 คน ถูกมีดแทงตายในระหว่างปี 2431 - 2434 ในงานแสดงนี้มีจดหมายจากฆาตกร และรายงานตำรวจที่ได้จากการสืบสวนในสถานที่เกิดเหตุ ผู้เข้าชมจะได้เห็นภาพถ่ายของย่าน East End ในสมัยนั้น เห็นคนยากจน คนขอทาน คนไม่มีที่อยู่อาศัย ฯลฯ จนกระทั่งมีเหตุร้ายเกิดขึ้น และผู้คนหวาดกลัวมาก East End จึงได้รับการพัฒนาทันที เหตุการณ์นี้ทำให้ George Bernard Shaw ถึงกับกล่าวว่า Ripper ได้ทำให้ London ได้รับการพัฒนามากยิ่งกว่านักสังคมสงเคราะห์ใดๆ
     
       
ส่วนจดหมายที่เขียนด้วยหมึกแดงว่า I am down on whores and shall quit ripping till I do get buckled. Yours truly Jack the Ripper นั้น ได้ถูกส่งไปให้นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่ง แต่ตำรวจปัจจุบันสงสัยว่า นักหนังสือพิมพ์คนนั้นเขียนเอง เพื่อให้คนแห่กันมาซื้อหนังสือพิมพ์ของตน นอกจากนี้ ก็มีมีดที่ Ripper ใช้ฆ่าเหยื่อ และมีภาพคนที่ถูกสงสัยด้วย นี่จึงเป็นการนำฆาตกรรมมาเป็นประวัติศาสตร์ ให้ประชาชนคนทั่วไปเห็นหลักฐาน และให้หลักฐานเหล่านี้พูดเอง อธิบายเอง เพราะกระทั่งถึงวันนี้หรือวันไหน ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า Jack the Ripper ตัวจริงคือใคร...




The Jack the Ripper murders occurred in the East End of London in 1888 and, although the Whitechapel Murderer was only a threat to a very small section of the community in a relatively small part of London, the murders had a huge impact on society as a whole.


WHY IS JACK THE RIPPER SO FAMOUS?
One of the things that puzzles many people about this particular long ago murder spree is quite why the crimes are still so famous, even though over a hundred and twenty years have elapsed since they occurred.
If, as is generally believed, Jack the ripper had only five victims then he wasn't a particularly prolific murderer compared to many who have come since, and the fact that his so-called reign of terror lasted a mere twelve or so weeks means that he wasn't at large for a particularly long period of time. Yet there is little doubt that he is the world's most famous serial killer. Why should this be?
Several factors combined to help make this series of crimes famous all over the world. Not least amongst them was the fact that the newspapers of the day gave a huge amount of coverage to the crimes and provided their readers with daily updates on them with the result that Jack the Ripper effectively became a menacing media figure.
Secondly, the area in which the killings occurred was perceived as being a hotbed of vice and villainy, and a breeding ground for social unrest, squalor and disease. The Whitechapel Murderer, in the eyes of the wider Victorian society, came to be seen as the personification of all the evils with which the East End of London was associated.
Finally, there was, of course, the name by which the killer came to be known - Jack the Ripper. It was this name - which was probably the invention of a journalist - that had the effect of turning five sordid East End murders into an international phenomenon and of catapulting the unknown miscreant responsible into the realm of legend.

HOW MANY VICTIMS WERE THERE?
It is generally believed that there were five victims of Jack the Ripper. They were:-
Mary Nichols, murdered on 31st August 1888.
Annie Chapman, murdered on 8th September 1888.
Elizabeth Stride, murdered on 30th September 1888.
Catherine Eddowes, also murdered on 30th September 1888.
Mary Kelly, murdered on 9th November 1888.

THE POLICE INVESTIGATION
Of course the murders were also the focus of a huge criminal investigation that saw the Victorian police pit their wits against a lone assassin who was perpetrating his crimes in one of London's most densely populated and crime ridden quarters.
As a result of official reports and the efforts of journalists to keep abreast of the progress (or, perhaps more accurately, lack of progress) that the police investigation was making, we are able watch that investigation unfolding. We can analyze the methods that the police used to try and track the killer and compare them with the methods that the police would use today. We can also ask - and hopefully answer - the question why didn't the police catch Jack the Ripper?
The Victorian police faced numerous problems as they raced against time to catch the killer before he could kill again. A major one was the labyrinth-like layout of the area where the murders were occurring, made up as it was of lots of tiny passageways and alleyways, few of which were lit by night. And, of course, the detectives hunting the killer were hampered by the fact that criminology and forensics were very much in their infancy.

JACK THE RIPPER SUSPECTS
Despite the fact that no-one was ever brought to justice or charged with the crimes, there have, over the years, been more than a hundred named suspects who may or may not have been Jack the Ripper. Some of those suspects are fascinating. Others are down right ridiculous.
Yet one thing is certain. No matter how unlikely the names of those that appear on the ever expanding list of suspects might be, the on going challenge of "nailing" the ripper has helped keep this series of crimes at the forefront of criminal and social history for over 120 years.




ขอบคุณที่มา : http://board.postjung.com/467183.html
                            http://www.jack-the-ripper.org/